วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สกอ. ยืนยันไม่ขยายวันจ่ายเงิน A-NET ด้านผู้ปกครองเตรียมฟ้องร้องสหประชาชาติ

หลังจากที่มีกลุ่มผู้ปกครอง และนักเรียนที่พลาดการสมัครสอบเอเน็ตจำนวนมากมาร้องเรียน เพื่อให้ขยายวันรับสมัคร และขยายการจ่ายเงินค่าสมัครสอบ ล่าสุดในวันนี้ทาง สกอ. ได้ยืนยันมาชัดเจนแล้วว่า จะไม่มีการขยายวันรับสมัคร และวันจ่ายเงินออกไปทั้งสิ้น.. โดยให้เหตุผลว่า การเปิดรับสมัครสอบเอเน็ตที่ผ่านมามีความชัดเจนทุกขั้นตอน และหากมีการเลื่อนการจ่ายเงินออกไปจะกระทบกับนักเรียนกว่า 1 แสน 9 หมื่นคนที่ได้สมัครเรียบร้อยไปก่อนหน้านี้แล้ว..

ขณะเดียวกันทางด้านผู้ปกครอง และนักเรียนที่พลาดการสอบเอเน็ต เมื่อได้ทราบว่าทาง สกอ. จะไม่มีการพิจารณาเลื่อนวันจ่ายเงินออกไป ก็เปิดเผยว่าจะดำเนินการเดินหน้าฟ้องร้องต่อศาลปกครอง และ คณะกรรมการมนุษยชน และองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ต่อไป..
ทางด้าน บอร์ดแอดมิชชั่น ศูนย์กลางแสดงความเห็นบนเว็บไซต์เด็กดีดอทคอม ก็ได้มีสมาชิกมาตั้งกระทู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก.. โดยความคิดเห็นส่วนใหญ่เน้นไปที่การขาดความรับผิดชอบ และรอบคอบของตัวนักเรียนที่พลาดการสมัครสอบเอง โดยตั้งข้อสังเกตว่านักเรียนที่พลาดการสอบในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะสมัคร และจ่ายเงินในวันสุดท้าย.. ขณะที่มีอีกหลายความเห็นได้แสดงความเห็นใจ พร้อมแนะนำทางออกในการเลือกคณะที่ไม่ต้องใช้คะแนนสอบเอเน็ตต่อไป..


เนื้อข่าวโดย คอลัมน์แอดมิชชั่น เว็บไซต์เด็กดีดอทคอม

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

"สนามหลวง" สมบัติของชาติ



ท้องสนามหลวง หรือ สนามหลวง เป็นสนามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคล กรุงเทพมหานคร

ท้องสนามหลวง เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2398 รัชพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก ทุ่งพระเมรุ เป็น ท้องสนามหลวง ดังปรากฏในประกาศว่า ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ทุ่งพระเมรุ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า "ท้องสนามหลวง" ’”

ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดเกล้าฯ ให้ทำนาที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้ปรากฏแก่นานาประเทศว่า เมืองไทยบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีไร่นาไปจนใกล้ ๆ พระบรมมหาราชวัง และไทยเอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นกำลังของบ้านเมืองด้วย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์มีกำแพงแล้วล้อมรอบบริเวณ ข้างในสร้างหอพระพุทธรูปสำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระสำหรับพิธี สำหรับการพิธีมีพลับพลาที่ทำการพระราชพิธี มีหอดักลมลงที่พลับพลาสำหรับทอดพระเนตรการทำนา ข้างพลับพลามีโรงละครสำหรับเล่นบวงสรวง ด้านเหนือมีพลับพลาน้อยสร้างบนกำแพงแก้วสำหรับประทับทอดพระเนตรการทำนาในท้องทุ่ง นอกกำแพงแก้วยังมีฉางสำหรับใส่ข้าวที่ได้จากการปลูกข้าว

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิม และรื้อพลับพลาต่าง ๆ ที่สร้างในรัชกาลก่อน ๆ เพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องทำนา และได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การฉลองพระนครครบ 100 ปี งานฉลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปใน พ.ศ. 2440 ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ใช้เป็นสนามแข่งม้าและสนามกอล์ฟ

ในรัชกาลปัจจุบันมีการใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี พระราชพิธีกาญจนาภิเษก รวมทั้งงานพระเมรุมาศเจ้านายระดับสูง เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

สนามหลวงโบราณสถานสำคัญของชาติ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 94 ตอนที่ 126 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2520 มีเนื้อที่ 74 ไร่ 63 ตารางวา


วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มาทำ Portfolio กันเถอะ

องค์ประกอบหลักๆ ของ Portfolio ที่สมบูรณ์

1.
หน้าปก

ควรออกแบบให้สะดุดุตา แบบเห็นปุ๊บแล้วคนหยิบขึ้นมาอ่านปั๊บเลยค่ะ ถ้าหน้าตาดีก็ใส่รูปตัวเองลงไป present ตัวเองเต็มที่ เข้าใจง่าย สรุปเนื้อหา และ มีรายละเอียดครบถ้วนคือ ของใคร ชั้นอะไร เรียนที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เหตุใด ฯลฯ (แต่ต้องเน้นส่วนที่เป็นตัวของเราที่สุด ทำออกมาให้เป็นตัวของตัวเอง)

2.
ประวัติส่วนตัว
นำเสนอตัวเองเต็มที่เลยนะคะ ประวัติทางด้านสถานศึกษา ถ้าจะให้ดี ขอแนะนำว่าให้ทำเป็น 2 ชุด คือ ส่วนที่เป็นภาษาไทย รวมไปถึงข้อมูลที่เป็น personal data และส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษนั่นเอง เพื่อแสดงความสามารถของตนให้แฟ้มดูน่าเชื่อถือมากขึ้นค่ะ

3.
ประวัติทางการศึกษา
ให้เรียงลำดับจากการศึกษาที่น้อยสุด จนกระทั่งปัจจุบันและผลสรุปของผลการเรียนที่ได้ครั่งล่าสุดควรเน้นเป็นส่วนท้ายที่เห็นเด่นชัดที่สุด(อาจมีเอกสารรับรองผลการเรียนแนบมาด้วยก็ได้ จะดีมาก)


4.
รางวัลและผลงานที่ได้รับ
เขียนในลักษณะเรียงลำดับการได้รับ จากปี พ.ศ.(ในส่วนนี้ไม่ขอแนะนำว่าต้องใส่เกียรติบัตรลงไป เพราะอาจทำให้แฟ้มดูไม่มีจุดเด่น เพราะมันเด่นหมด ควรไปเน้นข้อต่อไปดีกว่า)

5.
รางวัลและผลงานที่ประทับใจ
เป็นผลงานหรือรางวัลที่ได้รับ และเกิดความภาคภูมิแบบสุดๆ รางวัลแบบนี้แหละที่เป็นรางวัลแห่งชีวิตข้าพเจ้า (ควรใส่หลักฐานลงไปด้วยอาจมีรูปถ่ายประกอบจะดีมาก)

6.
กิจกรรมที่ทำในโรงเรียน
เช่นเป็นประธานนักเรียน กิจกรรมในชมรม หรืออย่างอื่นใส่เพื่อให้รู้ว่าเรามีประสบการณ์จากการทำงาน หรือตรงส่วนนี้จะใช้เป็นงานพิเศษที่กำลังทำก็ได้ หากเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจะทำให้ผลงานมีคุณค่ามากขึ้น คนหยิบขึ้นมาอ่านจะเห็นคุณค่าของเราตรงนี้ อาจมีเอกสารแสดงด้วยจะดีมากค่า)

7.
ผลงานตัวอย่าง
คือ งานหรือรายงานที่คิดว่าภาคภูมิใจมากที่สุดจากการเรียนที่ผ่านมา เช่น โครงงานวิทยาศาสตร์ รายงาน การวิจัยต่างๆ อาจนำเสนอใน 5 รายวิชาหลัก เป็นต้น

8.
ความสามารถพิเศษต่างๆ
ควรโชว์ในความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปมีอยู่เป็นส่วนน้อยที่สามารถทำได้ หรือเป็นความสามารถพิเศษที่สามารถสอดคล้องกับคณะ ที่เราต้องการศึกษาต่อ หรือถ้าไม่มี ก็เป็นความสามารถพิเศษทั่วๆ ไปค่ะ เช่น ร้องเพลง เล่นดนตรี หรือ กีฬา ฯลฯ

ในแต่ละหัวข้อถ้าหากมีการแสดงรูปถ่ายที่เกี่ยวข้องด้วยจะดีมากๆค่ะ ขอให้แฟ้มสะสมผลงานของเพื่อนๆ ออกมาน่ารักกันทุกคนนะคะ

เครดิต: http://www.vcharkarn.com/

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ไม่มีห้องน้ำในแวร์ซายส์

เรื่องห้องน้ำในพระราชวังแวร์ซายส์ ดร.โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ คณะวัฒนธรรมนานาชาติศึกษา มหาวิทยาลัยเทนรี ญี่ปุ่น เขียนไว้ตอนหนึ่งในบทความเรื่อง จาก น้ำ สู่ปฏิวัติฝรั่งเศส ตีพิมพ์ในวารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฉบับกันยายน 2542 สรุปความดังนี้

มีเอกสารระบุว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 กษัตริย์ฝรั่งเศส (1601-1643) เมื่อทรงประสูติและทรงรับการล้างบาปและรับศีลจุ่มแล้ว ไม่เคยลงสรงน้ำอีกเลยจนเมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้ 7 พรรษา และมีผู้เริ่มล้างพระบาทให้พระองค์ก็เมื่อพระชนม์ได้ 6 พรรษาแล้ว ความกลัวการลงแช่ในน้ำก็ยังคงมีต่อไปในจิตสำนึกของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 17

ครั้งเดียวที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (1643-1715) ทรงสรงน้ำในห้องประทับในพระราชวังแวร์ซายส์ คือเมื่อปี 1655 กลิ่นตัวของพระองค์รุนแรงขนาดผู้จงรักภักดีที่สุดของพระองค์พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าเฝ้า และแม้ว่าแพทย์หลวงจะทูลแนะนำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ตลอดชีวิตของพระองค์ทรงพอพระทัยกับการให้เช็ดพระพักตร์และโกนหนวดเคราสองวันครั้งด้วยการใช้สำลีจุ่มลงในแอลกอฮอล์เช็ดเท่านั้น

ไม่มีห้องอาบน้ำหรือห้องส้วมในพระ ราชวังแวร์ซายส์ พระ ราชวังแวร์ซายส์ซึ่งเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1624 ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แล้วขยับขยายเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ 15 และที่ 16
ภายในตัวพระราชวังมีการจัดห้องเพื่อวางอ่างอาบน้ำทั้งของพระมหากษัตริย์ พระราชินีและพระสนมต่างๆ ส่วนใหญ่เพื่อการตั้งโชว์เป็นสำคัญ การลงอาบจริงๆ ยังน้อยครั้ง เพราะยิ่งน้ำจากท่อน้ำที่ส่งน้ำจากแม่น้ำแซนที่ปารีสเข้าไปถึงพระราชวังแวร์ซายส์จะน้อยลงๆ น่าประหลาดใจที่พระราชวังแวร์ซายส์มีน้ำจำนวนมหาศาลเพื่อความโอ่อ่า ความมีหน้ามีตาของพระมหากษัตริย์ แต่ไม่มีน้ำใช้เพื่อล้างหน้าล้างตาหรือเพื่อการอนามัยที่ดีของบุคคล

ในสมัยของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (1774-1791) จึงเริ่มมีการจัดทำห้องส้วมจริงๆ หนึ่งห้อง แยกออกจากห้องอื่นๆ รายละเอียดที่น่าสนใจยิ่งอีกอย่างหนึ่งที่มีในพระราชฐานคือมีเก้าอี้นั่งอุจจาระทั้งหมด 274 ตัว เก้าอี้นี้เจาะเป็นรูใหญ่ตรงกลางแผ่นที่นั่ง เป็นรูปทรงแบบแรกก่อนที่จะมีการผลิตโถส้วมแบบนั่งในสมัยต่อมา เมื่อจะทำธุระจะวางกระโถนรองรับไว้ใต้ที่นั่งตรงรูนั้น มีผ้ากองมหึมาที่ใช้สำหรับเช็ดตัวเช็ดก้น

อย่างไรก็ตาม ยังพออนุมานได้อีกทางว่า จากพระนิสัยไม่ทรงชอบอาบน้ำ อันสืบเนื่องมาจากความกลัวการลงแช่ในน้ำจากความเชื่อว่าการลงแช่อาบน้ำร้อนเป็นภัยต่อร่างกายและทำให้ประสาทเสื่อม ทั้งในศตวรรษที่ 16-17 ราคาน้ำใช้สูงขึ้นมาก การอาบการแช่น้ำยุติลง พร้อมการระบาดของกาฬโรค โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดสำหรับยุโรปทั้งทวีป เกิดขึ้นในปี 1346-1353 หยุดชะงักไปแล้วกลับระบาดขึ้นใหม่อีกในศตวรรษที่ 16 และ 17 บวกกับเมื่อทรงแก้ปัญหาขับถ่ายได้แล้วด้วยเก้าอี้นั่งอุจจาระ จึงไม่ทรงเห็นความจำเป็นของห้องน้ำ


ที่มา :: http://www.giggog.com/education/cat7/news6230/

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เคล็ดลับ หลับสบาย

9 Checks, Are You A Sleepless Society?
ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า

• หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด
• มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ
• ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล
• ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว
• ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ
• ง่วงนอนระหว่างวัน
• รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ
• ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย
• ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน

10 Ways to Sleep Well
ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้ 1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย
2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก
3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า
4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน
5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้
6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง
7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน
8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น
9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว
10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า

ที่มา kapook.com